บ้านร้าง

         หากเรามีบ้านสักหลังที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ก่อนจะมาซื้อบ้านสู้อุตส่าห์เลือกแล้วเลือกอีก ซึ่งเมื่อมาอยู่ก้ได้เพื่อนบ้านที่ดี บ้านแต่ละหลังต่างก็ทำมาหากินเจริญก้าวหน้าเรื่อยมา อยู่มาวันหนึ่งเมื่อเศรษฐกิจถดถอย บ้านที่เคยเป็นเพื่อนบ้านของเราก็หมดแรงและกำลังทรัพย์ที่จะผ่อนบ้านต่อ ในที่สุดก็ถุกธนาคารยึด เมื่อไม่มีใครอยู่บ้านก็ขาดคนดูแล ต้นไม้ที่ยังพออาศัยแดดลมและน้ำ จากรากที่ดูดซึมไปยังบ้านไกล้เรือนเคียงได้ทำให้พอมีชีวิตอยู่ แต่สภาพบ้านที่รกร้างว่างเปล่าทำให้เพื่อนบ้านไกล้เรือนเคียงพลอยสลดหดหู่ไปด้วย และผลพลอยเสียที่มีต่อเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ก็คือ ความเจ็บไข้ ด้วยเห็นอยู่ทุกวี่ทุกวันทั้งเช้าและเย็น

        หากมีคนที่อยู่ในบ้านตลอดเวลาเช่น แม่บ้านที่ต้องออกมาซักผ้า ตากผ้า ซื้อกับข้าว ตัดหญ้าหรือทำการอื่นใดก็ตาม แล้วมองเห็นสภาพที่ไม่เจริญหูเจริญตาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน โอกาสป่วยไข้หรือเศร้าหมอง หรือป่วยด้านสุขภาพจิตเป็นโรคซึมเศร้าได้เช่นกัน ยิ่งในบ้านที่มีคนอยู่แล้วมีคนท้องด้วยยิ่งอันตราย เคยได้ยินว่าคนท้องนั้นต้องเห็นสิ่งเจริญหูเจริญตา สุขภาพจิตต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก หากได้พบเห็นสิ่งที่เศร้าหมองอยู่เสมอ จิตใจสลดหดหู่เด็กในท้องก็กลายเป็นเด็กที่เก็บกดได้ง่ายไปด้วย

         มีวิธีการสลายพลังอยู่สองวิธีคือ วิธีแรกใช้ระฆังลม อาจจะเป็นโลหะหรือดินเผาหรือเซรามิค ที่ไม่มีรูปลักษณ์แหลมคม ติดเหนือชายคาบ้านเรา บริเวณที่ได้เห็นสิ่งที่ไม่ปรารถนา เสียงของระฆังลม และการกวัดแกว่งจะช่วยพัดโบกให้พลังร้ายหนีหายไปได้ แม้จะไม่ทั้งหมด ก็ยังดีกว่าไม่ทำเสียเลย อีกวิธีหนึ่งก็คือใช้กระจกนูนเพื่อสลายพลังร้าย ให้ล้มลงด้วยความนูนของกระจก

         ส่วนการเลือกใช้สีต้องแล้วแต่ทิศทาง การแก้ด้วยกระจกควรต้องบ้านที่อยู่ตรงข้ามเรา และติดที่บ้านเรา และข้อสำคัญกว่านั้นก็คือเวลาที่ติด ไม่ควรมีคนปีจออยู่ในบ้านด้วย เพื่อไม่ให้คนปีจอถูกทำลาย เพราะพลังเวลาติดคือยามมะโรงนั้นพิฆาตคนที่เกิดปีจอ

        การใช้สิ่งใดแก้ไขก็อยู่ที่ทิศทางและสาเหตุเป็นสำคัญ ว่าควรจะแก้อย่างไร และใช้อะไรแก้ เพื่อป้องกันโทษภัยที่จะเกิดแก่เรา แทนที่จะแก้แล้วดีขึ้นกลับทำให้ทุกอย่างแย่ลงก็อย่าทำดีกว่า